12 Aug
วันนี้ถือว่าเราได้ไปลงลึกเรื่องของศิลปะกันไปเยอะเลยทีเดียว
เราเริ่มจากการเจอคลิป
ศิลปะแบบเรอเนซองส์คืออะไร? จากช่อง SpokeDark (พี่พิธิกรอธิบายได้สนุกและฟังเข้าใจมากๆ)
ทีนี้ สิ่งที่เราเข้าใจเกี่ยวกับศิลปะยุคเรเนซองส์คือ ศิลปะที่รื้อฟื้นความเป็นยุคคลาสซิกกลับมาอีกครั้ง ซึ่งมันก็คือวิทยาการและศิลปะก่นช่วงยุคกลาง กลับมาใช้อีกครั้ง
ตละกูลที่โด่งดังในช่วงนั้นคือตละกูล Medici เป็นชนชั้นพ่อค้าที่รำรวยมาก เขาถือว่าเป็นสปอนเซอร์ในการสร้างสถาปัถตยากรรมต่างๆ ที่เราเห็นกันในปัจจุบันนี้ แถมยังอุปถัมศิลปะเช่น Michelangelo, Leonardo da Vinci, และ Raphael ผู้ที่วาดภาพ The School of Athens นั่นเอง
การค้าขายและแลกเปลี่ยนความคิดกับชาวต่างชาติก็เข้ามาทำให้มีอิทธิผลต่อศิลปะด้วย
และอีกอย่างที่สำคัญคือ เมื่อถึงคราวสิ้นสุดของเมือง Constantinople หรือโรมันตะวันออกทำให้เกิดการอพยพของเหล่านักวิชาการจากโรมันเข้ามายุโรปและมอบความรู้และวิทยาการใหม่ๆ ให้อีกเยอะเยะมากมาย
คนยุโรปจะเริ่มรู้จักวิทยาศาสตร์และปรัชญามากขึ้น
เขาจะเริ่มมีความเชื่อเรื่องพระเจ้าที่เปลี่ยนไป จากที่เชื่อว่าร่างกายเป็นเพียงภาชนะที่ใส่วิญญาณลงไปรอวันที่จะได้กลับไปอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าเพื่อใช้ชีวิตที่นิรันต์ เป็นเราทุกคนไม่ใช่ภาชนะแต่เรามีคุณค่าความเป็นมนุษย์ของตัวเอง
พอเชื่อในความเป็นมนุษย์มากขึ้น ศิลปะที่เป็นรูปวาดของคนจะเริ่มสมบูรณ์ดูมีกล้ามเนื้อและเริ่มมีอนโตมี่ของมนุษย์มากกว่ายุคกลางที่ทุกอย่างจะดูไม่สมส่วนแต่จะเน้นที่ภาพยิ่งใหญ่เนื้อสิ่งอื่น
ศิลปะในยุคนี้ได้ผู้สนับสนุนคือนิกายคาทอลิก นิกายนี้ได้ว่าจ้างให้ศิลปินที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นสร้างภาพวาดที่เกี่ยวกับพระคำภีม์หรือเหตุการณ์ในพระคำภีม์ใบเบิลให้ออกมาสวยงามและมีความเป็นมนุษยที่สมจริงมากขึ้น
ศิลปะยุคกลาง
ศิลปะยุคเรอเนซองส์
ภาพของพระเจ้าที่ถูกวาดออกมา ดูเป็นคนมากกว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และภาพแต่ละภาพที่วาดลงบนแผ่นไม้สามารถซื้อขายแลกภาพกันได้ไม่เหมือนยุคกลางที่วาดไว้เป็นลวดลายในโบสถ์และจับต้องแลกเปลี่ยนไม่ได้
ภาพของพระเจ้าดูมีอารมณ์ความรู้สึกมากขึ้น สมจริงและสมบูรณ์แบบมากขึ้น
คนเริ่มเห็นว่าถ้าจะวาดพระเจ้าให้งามต้องวาดเทพให้เหมือนคนที่สุดเพราะร่างกายมนุษย์คือความงามนั่นเอง
แต่คนทุกคนก็ไม่ได้วาดพระเจ้าอย่างเดียว เขาก็วาดคนด้วยเหมือนกันอย่างภาพโมนาลิซ่าก็เป็นภาพของสาวลึกลับที่สื่ออารมรณ์แปลกๆผ่านแววตาที่เราก็ไม่รู้ว่าเธอเศร้าหรือมีความสุขอยู่
และสิ่งที่น่าสนใจในยุคนี้คือมันเป็นยุคที่ค้นพบสิ่งที่เรียกว่า Linear Perspective ซึ่งมนคือเทคนิคการวาดสถาปัถตยากรรมให้ดูสมจริงและดูมีมิติเพื่อหลอกตาคนว่ามันคือภาพ 3d และคนที่ค้นพบเรื่องนี้คือ Filippo Brunelleschi นั่นเอง เขาค้นพบเทคนิคนี้ตอนท่เขาจะร่างสถาปัถตยกรรมและเขาก็พบว่ามันต้องมีจุดรวมสายตาและเส้นขอบฟ้าที่ตัดกันซึ่งเรียกว่า Vanishing Point กับ Horizon Line
ซึ่งเทคนิคนี้ก็สามารถทำให้เขาวาดร่างสถาปัถตยากรรมที่ดูมีมิติและมีจุดดึงดูดสายตาได้อย่างดีเยี่ยม
และเทคนิค Linear Perspective นั้นก็ได้นำมาใช้ในภาพ The last Supper ด้วยโดยที่จุดรวมสายตาทั้งหมดอยู่ตรงกลางที่มีพระเยซูอยู่พร้อมกับแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างยิ่งทำให้พระเยซูเป็นจุดสนใจของภาพวาดนี้มากขึ้น ซึ่งการใช้เทคนิคนี้มันเริ่มต้นในยุค High Renaissance หรือปี ค.ศ.1490's-1520 เป็นยุคจุดสูงสุดของเรอเนซองส์ คือการนำวิทยาการมาผสมศิลปะอย่างลงตัว
รูปปั้นในสมัยเรอเนซองส์
ถ้าดูรูปปั้นก่อนยุคก่อนๆจะเห็นว่าจะมันมีความแข็งทื่อและไม่มีความเป็นธรรมชาติแต่เมื่อถึงยุคเรอเนซองส์ศิลปินเริ่มเข้าใจการยืนอย่างเป็นธรรมชาติของมนุษย์ว่าต้องมีการถ่ายน้ำหนักลงและเน้นการปั้นกล้ามเนื้อหรือลามไปถึงขั้นปั้นเส้นเลือดปูดออกมาเลยทีเดียว
ภาพที่เป็นจุดสูงสุดของเรอเนซองส์คือ...
เป็นภาพที่อธิบายถึงการสื่อถึงพระเจ้าและการเข้าใจในร่างกายของมนุษย์ที่ลึกซึ้งและวิจิตตระการตาจริงๆ
ยุค Mannerism เริ่มราวๆ ค.ศ.1520
จะเป็นยุคที่ได้รับอิทธิผลมาจากยุคเรอเนซองส์และสีที่ใช้อาจผิดจากสีธรรมชาติ ไม่ได้เน้นความสมบูรณ์แบบและภาพจะมีความซับซ้อนและหา perspective ไม่ได้และสรีระของคนจะเริ่มผิดเพี้ยน ดูยาวกว่าปกติเพื่อเน้นถึงความสง่างามนั่นเอง(คนสมัยนั้นจะคิดประมาณนี้อะนะ)
จบที่ช่วงเรอเนอซองส์ มาที่ยุค...
ยุคบาโรก (ศษวรรตที่ 17-18)
ซึ่งคำว่าบาโรกแปลว่า ไข่มุก แต่เป็นไข่มุกที่ไม่ได้กลมแต่เป็นไข่มุกชนิดนึงที่แต่ละเม็ดรูปร่างไม่เท่ากัน ไม่เหมือนกัน และไม่กลมสักเม็ดแต่ว่าเราก็ไม่อาจละสายตาออกจากสีของมันได้เลยเพราะมันแวววาวและน่าค้นหา
เหมือนกันศิลปะช่วงยุคบาโรกที่มันจะมีความ เยอะ เยอะจนมากไปจนมันเกินความจำเป็นแต่เราก็ไม่อาจจะละสายตาออกมาจากตรงภาพวาดหรือจิตกรรมฝ่าผนังได้เลย
แต่จริงๆ มันเริ่มจากการที่ศาสนจักรคาทอริคต้องการให้ผู้คนกลับมาเคารพนิกายของตน ซึ่งเหตุผลที่คนเริ่มไม่ค่อยศรัทธาในนิกายคาทอริคเป็นเพราะสิ่งที่มาร์ติน ลูเธอร์เขียนขึ้นมาและสิ่งที่มาร์ติน ลูเธอร์ทำนั้นต่างจากนิกายคาทอริคมาก คาทอริคจะเน้นทุนนิยม เพราะเนื่องจากนิกายนี้ยิ่งใหญ่เหนือกษัตริย์จึงมีหน้าที่ในการตัดสินโทษได้ โดยให้ผู้ที่ทำผิดมาบริจาคเงินเพื่อซื้อใบอภัยโทษจากพระเจ้า เพราะฉนั้นจะทำผิดแค่ไหนแค่มีเงินก็รอดหมด และยังเอาเงินไปสร้างรูปปั้นอีกมากมันขัดกับสิ่งที่ถูกสอนมาอย่าง "พระเจ้ามีองค์เดียว เราไม่ควรเคารพในรูปปั้นใดๆ" มาร์ติน ลูเธอร์จึงไม่ยอมรับในเรื่องการสร้างรูปปั้นและความทุนนิยม เขาจึงถูกเนรเทศออกไปแต่คำสอนของเขาทำให้คนหันมาเชื่อเขาอย่างไม่น้อยกันเลยทีเดียวและเพราะเหตนั้นจึงทำให้เกิดนิกายโปตาสแตน ที่เน้นการศึกษาพระคำภีม์อย่างจริงจังและไม่ใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
คนหันไปสนใจนิกายโปตาสแตนจนนิกายคาทอริคแทบจะไม่มีคนสนใจ พวกคาทอริคจึงตอบโต้ด้วยการลดความทุนนิยม ลดการใช้เงินฟุ่มเฟือย และคีฟความซิมเปิ้ลเหมือนนิกายโพตาสแตน
ก็มีบางส่วนที่ชอบแต่ส่วนที่เฉยๆ มีเยอะกว่า พวกคาทอริคต้องการให้คนส่วนใหญ่หันมาเข้าโบสถ์และนับถือนิกายคาทอริคมากขึ้นจึงนึกถึงความยิ่งใหญ่ที่จะทำให้คนตลึงได้ ศิลปะบาโรกจึงได้ถือกำเนิดขึ้น!!
มันได้เริ่มจากในตัวภายในโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างอลังการงานสร้าง และ ใส่ความเยอะเข้าไป จิตกรรมฝ่าผนังที่ถูกวาดขึ้นก็ชวนทำให้ทุกคนตกตลึงและก็เริ่มกลับมาสนใจกันอีกครั้ง
มีกิมมิคที่ทำให้ตัวโดมของโบสถ์เป็นทางเชื่อมกับสวรรค์ตกแต่งผนังด้วยภาพของเทวดานางฟ้าแต่บอกเลยว่าถ้าเทียบกับเรอเนซองส์ความต่างกันคือความเยอะและความเล่นใหญ่
เรอเนซองส์จะเน้นความเท่ากันและสมบูรณ์แบบแต่แนวบาโรกมองแป๊ปเดียวสัมผัสถึงความอลังการไว้ก่อนทันที
ลอเรนโซ่ แบร์นีนี่
เจ้าพ่อแห่งบาโรก
มีผลงานเด่นดังมากมาย สถาปัถตยากรรมของเขาถือว่าสุดยอดในสมัยนั้นมาก
และหน้าตาของรูปปั้นที่เขาปั้นนั้นจะมีความสื่ออารมณ์เหนือความเป็นจริง ถ้าคนปกติสื่อ 100% รูปปั้นของเขาจะสื่อ 150% ซึ่งเหมือนกับนักแสดงโอเปร่าที่แสดงสีหน้าแบบดราแมติกมากๆ
และรูปปั้นในสมัยนี้จะเริ่มออกท่าทางเหมือนคนที่กำลังทำท่าทางใน ณ ช่วงขณะหนึ่ง มันจะสมจริงในแบบมนุษย์มากกว่า ถ้าทำท่า ออกท่า หรือทำหน้ายังไง เขาก็จะปั้นออกมาแบบนั้นไม่เหมือนเรอเนซองส์ที่จะสมจริงแบบสมบูรณ์แบบประดุจเทพ
การจัด Composition ของยุคนี้จะไม่สมดุลเสมอไป
Comments